วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

5124408056-สอบปฏิบัติ ท่องเที่ยวภูหลวง

วันแรกของการเดินทาง

22.00 น. ออกเดินทางจากจุดนัดพบ พร้อมผู้นำทริปอีก 1 คนที่ชื่นชอบดอกกล้วยไม้และถ่ายรูปอย่างมาก โปรแกรมเดินทาง 3 วัน 3 คืน กับรถตู้ 1 คัน







ดอกเอื้องสำเภางาม










กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ลาว

วันที่สอง

04.30 . ถึงด่านตรวจเข้าอุทยานแห่งชาติภูเรือ จอดรถรอเจ้าหน้าที่เปิดให้ขึ้นเวลา 05.00 น. หลังซื้อตั๋วผ่านด่านตรวจแวะศูนย์บริการนักท่องเที่ยวล้างหน้าแปรงฟันและที่พลาดไม่ได้คือประทับตราอุทยาน ฯ ลงในหนังสือพาสปอร์ตเที่ยวอุทยานและแผ่นโปสการ์ดเปล่าอีก 1 ปึกสำหรับแปะหลังภาพถ่ายส่งให้เพื่อน

หลังเสร็จภาระกิจนั่งรถขึ้นยอดภูเรือ จอดรถที่ลานก่อนถึงยอดและเดินต่อขึ้นไปจุดชมวิวยอดภูเรือ ณ วันนั้นนักท่องเที่ยวบางตาไม่หนาแน่นเหมือนช่วงปีใหม่ที่เคยไป แต่สิ่งที่คล้ายกันคือความงามของทิวเขาและดวงตะวันเบื้องหน้า
หลังดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าเดินลงมาที่ลานจอดรถแล้วแวะทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังภูหลวง จุดหมายสำคัญของทริปนี้……….

เส้นทางสู่ภูหลวงถนนยังไม่ดีนัก บางช่วงจะเป็นดินแดง+ลูกรัง มีเฉพาะก่อนถึงที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าโคกนกกระบาจะเป็นถนนซีเมนต์ คาดว่าถ้าเป็นหน้าฝนคงต้องใช้รถ 4x4 เท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้ เพราะถนนช่วงที่เป็นดินแดง+ลูกรังจะค่อนข้างคดเคี้ยวและสูงชัน

ถึงบริเวณที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าโคกนกกระบาก็ตื่นตากับดอกกุหลาบแดงที่บานสะพรั่งทั่วบริเวณ รวมถึงดอกกล้วยไม้เอื้องสำเภางามข้างที่ทำการช่อใหญ่ บ้านพักที่นี่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงปลูกกระจายอยู่ประมาณ 10 หลัง พวกเราจองที่พักได้ 1 หลังมี 2 ห้อง นอนห้องละ 5 คน อากาศช่วงสายๆของวันนั้นค่อนข้างหนาวเย็นกว่าบนยอดภูเรือ แต่ไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นสัญญาณบ่งบอก ว่าช่วงเย็น+กลางคืนจะหนาวเย็นมากๆ


นำสัมภาระเก็บที่พัก โปรแกรมถัดไปคือเดินศึกษาธรรมชาติและถ่ายรูปดอกกล้วยไม้ป่าที่ลานสุริยัน โดยการเดินเป็นวงกลม การเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติโดยปกติต้องมีเจ้าหน้าที่หน่วย ฯ นำทาง แต่เหตุเพราะช่วงนั้นมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปปริมาณมากกว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งมีน้อยคน พวกเราก็เลยเดินกันเองโดยมีผู้นำทริปที่เชี่ยวชาญพื้นที่ภูหลวงนำทางและคอยชี้แนะให้ถ่ายรูปดอกกล้วยไม้ อาทิ เอื้องตาเหิน เอื้องสำเภางาม เอื้องตะขาบขาว เอื้องรวงข้าว ไลเค่นที่ออกดอกเล็กๆ สีแดงสด ข้าวตอกฤๅษีที่เริ่มเหี่ยวเฉา ผ่านหินนกกระบาที่เป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่แห่งนี้ ผ่านลำธารเล็ก ๆ ที่มีใบเมเปิลร่วงเต็มพื้น เสียดายที่มาช้าไปใบเมเปิลร่วงเป็นสีน้ำตาลไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าเป็นช่วงเดือนธันวาคมจะพบเห็นใบเมเปิลสีแดงเต็มพื้น สุดเส้นทางเป็นวงกลมที่ “ผาเยือง” ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็น เดินทางกลับที่พักเพื่อทางอาหารกลางวัน ผ่าน “เรือนประทับแรมโคกนกกระบา“ รอบบริเวณมีดอกกล้วยไม้หลายพันธุ์


ยามเย็นที่ผาเยือง


หลังทานอาหารกลางวันต่างแยกย้ายพักผ่อน ตัวเราเองเดินถ่ายภาพดอกไม้บริเวณรอบ ๆ ที่ทำการหน่วย ฯ อาบน้ำก่อนที่จะค่ำมืดเพราะอากาศเริ่มหนาวเย็น โชคดีที่ห้องพักมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วยแม้ว่าจะใช้การได้ไม่เต็ม 100 เพราะเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้แก๊สแทนกระแสไฟฟ้า แต่ก็ดีกว่าอาบน้ำเย็นเฉียบ และเวลานัดหมายรวมกลุ่มอีกครั้ง


17.00 น. ออกเดินไปอีกเส้นทางชมความงามของธรรมชาติบริเวณเรือนรับรองพิเศษที่ดอกกุหลาบแดงบานสะพรั่ง จากนั้นเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาเยืองบนเส้นทางเดิม ทิวทัศน์ที่ผาเยืองถ้าวันที่อากาศแจ่มใสจะมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงามมาก หลังดวงตะวันลับฟ้าอากาศเปลี่ยนแบบกระทันหันจากหนาวไม่มากนักกลายเป็นเย็นยะเยือก + สายลมหนาว

หลังอาหารเย็นรีบชวนกันเข้าไปพักผ่อนดูทีวีที่อาคารที่ทำการ ฯ เพื่อหลบอากาศหนาวพร้อมพยายามดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ตามสูตรที่เคยรู้มาว่าจะช่วยผ่อนคลายความหนาวได้บ้าง แต่ก็ได้ไม่มากนัก เดินกลับห้องพักประมาณ 2 ทุ่มกว่าเนื่องจากทราบมาว่าไฟฟ้าที่นี่จะดับตอน 3 ทุ่ม เพราะใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าเอง

ช่วงกลางคืนหนาวมากแม้ว่ามีถุงนอนและผ้าห่มคลุมอีก 1 ผืน นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ จนรุ่งเช้ารู้แต่ว่าในใจภาวนาว่าเมื่อไหร่จะเช้าซะที!!!! เพราะทรมานกับอาการหายใจลำบากเนื่องจากอากาศหนาว ตอนเช้าเต็มไปด้วยสายหมอกและลมแรง ดูปรอทหน้าบ้านพักอุณหภูมิ 9 องศา ซึ่งคาดว่ากลางคืนต้องต่ำกว่านั้นแน่ ๆ โปรแกรมเช้านี้ต้องตื่นตี 5 ครึ่งเพื่อเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ผาช้างผ่าน” แต่เหตุเพราะอากาศหนาวเย็นและมีหมอกหนาพวกเราเลยพร้อมใจกันสละสิทธิ์โปรแกรมนี้

  • แหล่งที่มา

http://travel.sanook.com/hometown/hometown_00557.php

ไม่มีความคิดเห็น: